เขียนเสมือนหนึ่งว่าเรากำลังอธิบายว่าเราตัดสินใจเลือกและออกแบบกระบวนการต่างๆ ในการทำวิจัยอย่างไร ในข้อนี้เป็นการแสดงว่าระเบียบวิธีวิจัยของเรานั้นมีความถูกต้องและเหมาะสมตามหลัก มีแนวทางการเขียนดังนี้ 2. 1 การเลือกระเบียบวิธีวิจัยให้เหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับคำถามวิจัยที่ใช้ ไม่ใช่โดยเหตุผลอื่นๆ เช่น เราคำนวณเก่งหรือไม่เก่ง หรือแม้จะอ้างว่ายังไม่มีใครใช้วิธีนี้ในการวิจัยเรื่องนั้นๆ ซึ่งแม้บางทีจะพอรับได้แต่ก็ไม่ถูกต้องตลอดไป ตัวอย่างการเลือกวิธีการวิจัยที่เหมาะสมเช่น ก. คำถามวิจัยเริ่มต้นด้วยคำว่า ทำไม… จึงต้องการรายละเอียดที่จะอธิบายสาเหตุดังกล่าวประกอบกับยังไม่มีแนวทางจากงานวิจัยในอดีตมากนักจึงใช้การสัมภาษณ์แบบปลายเปิดแบบเชิงลึก หรือ ข. คำถามวิจัยเริ่มด้วยคำว่า อะไร… เท่าไหร่ ต้องการคำตอบในเชิงปริมาณครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ จึงใช้การสำรวจโดยใช้แบบสอบถาม 2. 2 การเลือกวิธีการวิจัยอาจจะอ้างอิงจากงานวิจัยในอดีตที่ใกล้เคียงกัน เช่นจำนวนตัวอย่างที่เหมาะสม หรือหัวข้อคำถาม หรือกรอบแนวคิดที่มากจากงานวิจัยในอดีต 2.
ปัญหาวิจัย (research problem) ข้อความ หรือคำถามที่นักวิจัย กำหนดเพื่อศึกษาหาวิธีแก้ไข คำถามวิจัย (research question) คำ ถามที่นักวิจัยกำหนดขึ้นเพื่อหาคำตอบ ซึ่งจะนำไปสู่วิธีการแก้ไขปัญหาวิจัย นิยมตั้งคำถามวิจัยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตั้งแต่สองตัวขึ้นไปมีลักษณะอย่างไร หลักเกณฑ์ของการกำหนดปัญหาวิจัย ปัญหาการวิจัยที่ดีควรจะเป็นอย่างไร แม้ว่าการเขียนปัญหาการวิจัยจะไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัวที่แน่นอน แต่การตั้งปัญหาการวิจัยควรมีหลักเกณฑ์ที่นำพิจารณา 3 ประการ คือ 1. ปัญหาควรปรากฏในรูปของ "ความสัมพันธ์" ระหว่างตัวแปรสองตัว หรือเกินกว่าสองตัว เช่น A เกี่ยวข้องกับ B ไหม A และ B เกี่ยวข้องกับ C อย่างไร A เกี่ยวข้อง B โดยมีเงื่อนไข C และ D หรือไม่ 2. ปัญหาต้องกำหนดให้ชัดเจน ไม่กำกวม โดยกำหนดในรูป "คำถาม" การตั้งคำถามมีข้อดีทำให้สามารถสื่อให้เห็นปัญหาได้โดยตรง 3.
by Pairach on August 7, 2011 บทที่ว่าด้วยระเบียบวิจัยนั้นมักจะสร้างความเบื่อหน่ายให้หลายๆ คนที่ไม่รู้ว่า 1. จะเขียนอย่างไรไม่ให้เป็นการลอกเลียนแบบหรือ Plagiarism 2. ควรจะต้องเขียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง 3. ควรจะเขียนมากน้อยขนาดไหน จากประสบการณ์ของผมแล้วบท Methodology ควรมีลักษณะดังนี้ครับ 1.
ปัญหาการวิจัย ใน ระเบียบวิธีวิจัย. กรุงเทพมหานคร. อาทิวรรณ โชติพฤกษ์, (2553). การกำหนดปัญหาการวิจัย ใน ระเบียบวิธีวิจัย. วิจัยสังคมศาสตร์ บรรณธิการ.
ประเด็นคำถามเชิงพรรณนา ได้แก่ การกำหนดหัวข้อปัญหาวิจัยในรูปคำถามที่ว่า " อะไรคือ อะไรเป็น " (What is) การตอบประเด็นคำถามดังกล่าวนี้ แสดงเป็นนัยว่า นักวิจัยจะต้องอาศัยการวิจัยเชิงสำรวจ 2. ประเด็นคำถามเชิงความสัมพันธ์ ได้แก่ การกำหนดหัวข้อปัญหาวิจัย ในรูปของคำถามที่มุ่งหาคำตอบว่า " ตัวแปร X มีความสัมพันธ์กับตัวแปร Y หรือไม่ " หรือ " ตัวแปร X พยากรณ์ตัวแปร Y ได้หรือไม่ " การสืบหาคำตอบของคำถามทั้ง 2 ประเด็นนี้ แสดงเป็นนัยว่านักวิจัยต้องออกแบบการวิจัยเป็นประเภทการศึกษาสหสัมพันธ์( correlation design) 3. ประเด็นคำถามเชิงเปรียบเทียบ ได้แก่ การกำหนดหัวข้อปัญหาวิจัย ในรูปของคำถามที่มุ่งเน้นการเปรียบเทียบพฤติกรรมหรือปรากฏการณ์ที่สนใจระหว่างกลุ่มควบคุมที่ที่ดำเนินตามสภาวะปกติและกลุ่มทดลองที่จัดกระทำทางการทดลองขึ้น กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ รูปแบบของคำถามประเภทนี้มุ่งหาคำตอบว่า " มีความแตกต่างระหว่างกลุ่มตัวอย่างหรือวิธีการที่นักวิจัยดำเนินการขึ้นหรือไม่ " คำถามวิจัยประเภทนี้ต้องอาศัยแบบการวิจัยเชิงทดลอง( experimental design) หรือการศึกษาย้อนรอยเปรียบเทียบหาสาเหตุ( causal comparative design) มาใช้ในการสืบค้นหาคำตอบ ที่มา: สุวิมล ว่องวาณิช ( 2550).
เข้าถึงเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2555. องอาจ นัยพัฒน์. ( 2551). วิธีวิทยาการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพทางพฤติกรรมศาสตร์และ สังคมศาสตร์. ( พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพมหานคร: สามลดา. อาทิวรรณ โชติพฤกษ์. ( 2553). ก้าวสู่ความเป็นนักวิจัยมืออาชีพ. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ประเด็นคำถามเชิงพรรณนา ได้แก่ การกำหนดหัวข้อปัญหาวิจัยในรูปคำถามที่ว่า " อะไรคือ อะไรเป็น " (What is) การตอบประเด็นคำถามดังกล่าวนี้ แสดงเป็นนัยว่า นักวิจัยจะต้องอาศัยการวิจัยเชิงสำรวจ เช่น - อะไรคือพฤติกรรมแปลกแยกของนิสิต/นักศึกษาที่มีความเบี่ยงเบนทางเพศ - อะไรคือพฤติกรรมการบริหารของผู้บริหารโรงพยาบาลศูนย์ดีเด่นและไม่ดีเด่น 2. ประเด็นคำถามเชิงความสัมพันธ์ ได้แก่ การกำหนดหัวข้อปัญหาวิจัย ในรูปของคำถามที่มุ่งหาคำตอบว่า " ตัวแปร X มีความสัมพันธ์กับตัวแปร Y หรือไม่ " หรือ " ตัวแปร X พยากรณ์ตัวแปร Y ได้หรือไม่ " การสืบหาคำตอบของคำถามทั้ง 2 ประเด็นนี้ แสดงเป็นนัยว่านักวิจัยต้องออกแบบการวิจัยเป็นประเภทการศึกษาสหสัมพันธ์( correlation design) เช่น - อัตมโนทัศน์ของนักเรียนมีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหรือไม่ - เพศ ผลการเรียนเดิมเกรดเฉลี่ย( GPA) ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ความเอาใจใส่ต่อการศึกษาเล่าเรียน ทำนายความสำเร็จในการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีได้อย่างแม่นตรงหรือไม่ 3.
มีความสามารถพิเศษ สำหรับใครที่ไม่ได้เรียนจบเฉพาะทางก็ไม่ได้ต้องกังวลแต่อย่างใด เพราะว่าคุณเองก็สามารถที่จะได้เงินเดือนที่ดีดังที่ต้องการได้ โดยการเลือกเรียนพิเศษเกี่ยวกับความสามารถพิเศษนั่นเอง โดยปกติแล้วเวลาที่ไปสมัครงาน ทางฝ่ายที่สอบถามก็จะมีการสอบถามเป็นพิเศษว่าเรามีความสามารถพิเศษอะไรกันแน่ หากว่ามีมากก็ได้เปรียบ เผลอๆ ก็ได้เงินเดือนที่เยอะขึ้นกว่าเก่า ยกตัวอย่างเช่นบางคนที่เลือกเรียนภาษาเกาหลี ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น เราก็ต้องยอมรับเลยว่าสามารถหางานได้ง่ายกว่าคนอื่น 4. มีการแก้ปัญหาที่เก่ง หากเป็นฝ่ายบริหารหรือว่าผู้จัดการ ก็จะต้องสามารถแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที เพราะว่าการแก้ปัญหาที่เก่งกาจ จะช่วยให้การดำเนินงานต่างๆ ผ่านพ้นไปได้แบบไม่ยากเย็น ไม่แตกต่างกันกับการที่ทางฝ่ายบุคคลจะเลือกคนที่แก้ปัญหาได้ดี เพราะเชื่อว่าช่วยให้บริษัททำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เป็นต้น และนี่ก็คือสิ่งที่หลายๆ คนอาจจะยังไม่เคยสังเกตมาก่อนเกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้หลายๆ คนนั้น ได้เงินเดือนสูง จะเห็นได้ว่าการได้เงินเดือนสูงไม่ยากอย่างที่คิด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่อย่างใด เพราะว่าต้องมีความสามารถหลากหลายนั่นเอง ซึ่งอาศัยความพยายามสมัครงานเป็นหลักนั่นเอง Post navigation
( 2550). แนวทางการให้คำปรึกษาวิทยานิพนธ์. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วรรณ โชติพฤกษ์. (2553). ก้าวสู่ความเป็นนักวิจัยมืออาชีพ. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ปัญหาวิจัย (research problem) ข้อความ หรือคำถามที่นักวิจัย กำหนดเพื่อศึกษาหาวิธีแก้ไข คำถามวิจัย (research question) คำ ถามที่นักวิจัยกำหนดขึ้นเพื่อหาคำตอบ ซึ่งจะนำไปสู่วิธีการแก้ไขปัญหาวิจัย นิยมตั้งคำถามวิจัยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตั้งแต่สองตัวขึ้นไปมีลักษณะอย่างไร หลักเกณฑ์ของการกำหนดปัญหาวิจัย ปัญหาการวิจัยที่ดีควรจะเป็นอย่างไร แม้ว่าการเขียนปัญหาการวิจัยจะไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัวที่แน่นอน แต่การตั้งปัญหาการวิจัยควรมีหลักเกณฑ์ที่นำพิจารณา 3 ประการ คือ 1. ปัญหาควรปรากฏในรูปของ "ความสัมพันธ์" ระหว่างตัวแปรสองตัว หรือเกินกว่าสองตัว เช่น A เกี่ยวข้องกับ B ไหม A และ B เกี่ยวข้องกับ C อย่างไร A เกี่ยวข้อง B โดยมีเงื่อนไข C และ D หรือไม่ 2. ปัญหาต้องกำหนดให้ชัดเจน ไม่กำกวม โดยกำหนดในรูป "คำถาม" การตั้งคำถามมีข้อดีทำให้สามารถสื่อให้เห็นปัญหาได้โดยตรง 3.